เมื่ออายุเพิ่มขึ้น “ข้อเข่า” ซึ่งเป็นข้อต่อสำคัญของร่างกาย ก็มีโอกาสเสื่อมสภาพมากขึ้น หลายคนเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยที่ข้อเข่า เมื่อลุกขึ้น เดินขึ้นลงบันได หรือเมื่อนั่งยองนาน ๆ ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนของ “ข้อเข่าเสื่อม” ปัญหานี้พบบ่อยในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป หากปล่อยไว้อาจนำไปสู่ความเจ็บปวดเรื้อรัง เดินลำบาก และลดคุณภาพชีวิต
ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) คือภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อเข่าเสื่อมลง ทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างกระดูก ผิวข้อขรุขระ เกิดการอักเสบและปวดขึ้นเมื่อเคลื่อนไหว หรือใช้งานมาก โรคนี้ค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการดูแล อาจทำให้ข้อเข่าบิดเบี้ยวหรือใช้งานไม่ได้
อายุ: พบบ่อยในผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป
น้ำหนักเกิน: น้ำหนักตัวมากส่งผลให้ข้อเข่ารับภาระหนักขึ้น
การใช้ข้อเข่ามากเกินไป: เช่น นั่งยอง นั่งขัดสมาธินาน ๆ การยกของหนักซ้ำ ๆ
พันธุกรรม หรือเคยมีอุบัติเหตุบริเวณข้อเข่า
ปวดข้อเข่าโดยเฉพาะเวลาเดินหรือขึ้นลงบันได
ข้อเข่าฝืดหลังอยู่นิ่งนาน ๆ
มีเสียงก๊อบแก๊บในข้อเข่า
ข้อบวม หรือข้อเข่าดูผิดรูป
น้ำหนักตัวที่มากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของข้อเข่าเสื่อม ทุก 1 กิโลกรัมที่ลดลง จะช่วยลดแรงกดที่ข้อเข่าถึง 4 กิโลกรัมในขณะเดิน การควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมจึงสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการของข้อเข่าเสื่อม
หลีกเลี่ยงการนั่งยอง หรือนั่งขัดสมาธินาน ๆ
หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือแบกของซ้ำ ๆ
ใช้เก้าอี้นั่งแทนการนั่งกับพื้น
เลือกสวมรองเท้าที่พื้นนุ่มและรับแรงกระแทกได้ดี
การออกกำลังกายแบบไม่ลงน้ำหนักมาก (Low-impact exercise) จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อ ลดแรงกระแทก และเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อ
ตัวอย่างที่แนะนำ ได้แก่
เดินช้า ๆ วันละ 20-30 นาที
ปั่นจักรยานในที่ราบ หรือจักรยานอยู่กับที่
ว่ายน้ำ หรือแอโรบิกในน้ำ
ท่ายืดกล้ามเนื้อต้นขา (เช่น นั่งบนเก้าอี้ เหยียดขาตรง สลับซ้ายขวา)
ข้อควรระวัง:
หากออกกำลังกายแล้วมีอาการปวด บวม หรือข้อเข่าอุ่นแดง ควรหยุดพักและปรึกษาแพทย์
Paracetamol: เป็นยาลดปวดตัวเลือกแรก ใช้ได้อย่างปลอดภัยในขนาดที่เหมาะสม
NSAIDs (เช่น Ibuprofen, Diclofenac): ใช้เพื่อลดปวดและอักเสบ แต่ควรใช้ในระยะสั้น และควรระวังในผู้ที่มีโรคไต กระเพาะอาหาร หรือหัวใจ
ยาทาเฉพาะที่: เช่น Diclofenac gel เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาเม็ด
ยาเสริมข้อ (Glucosamine/Chondroitin): อาจใช้เสริมแต่ผลลัพธ์แตกต่างกันในแต่ละคน ต้องใช้ต่อเนื่อง 3-6 เดือนจึงอาจเห็นผลในบางราย
ข้อควรระวัง
ห้ามซื้อยากินเองหรือใช้ยาติดต่อกันนานโดยไม่ปรึกษาแพทย์
หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้าข้อเว้นแต่จำเป็นและอยู่ในความดูแลของแพทย์
อย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างเกินจริง
หากอาการไม่ดีขึ้นหรือปวดมาก ควรไปพบแพทย์
การดูแลข้อเข่าเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ใช้ยาอย่างถูกต้อง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมกับสุขภาพข้อของตัวเอง
เพราะ “ข้อดีๆ ไม่มีขาย” เราต้องสร้างและดูแลเองในทุกๆ วัน เพื่อให้ข้อเข่าแข็งแรง ใช้งานได้ยาวนานตลอดชีวิต
รวมทุกอย่างสำหรับทุกคน